โดยปกติแล้วถ้าพูดถึงศิลปะคนทั่วไปมักจะมองไม่ออกว่าผลงานบางชิ้นนั้น มันศิลปะยังไง อันไหน ทำง่ายอันไหนทำยาก จะไม่เคยรู้หรือสนใจกับความไม่สมบูรณ์ของศิลปะ แต่มักจะมองมันออกมาตามความรู้สึกและความคิดของตน ซึ่งมันก็ไม่ผิดนักในกรณีที่เราสร้างผลงานอะไรมาแล้วคนพอใจและชื่นชม แต่ถ้าเราได้เรียนหรือมีความรู้เกี่ยวกับพื้นฐานทางด้านศิลปะบ้างย่อมช่วยในเรื่องของการทำงาน หรือสามารถนำไปพูดคุยให้คำแนะนำคนอื่น โดยใช้เหตุและผลไม่ได้อ้างความคิดส่วนตัว อีกทั้งเมื่อเราเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะ เราจะเริ่มรับรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงความแตกต่าง (จนกลายเป็นคนแปลกในสายตาคนอื่น)
มีทฤษฎีและกฎมากมายหลายกฎเกี่ยวกับศิลปะที่แย้งกับกฎอื่น และสามารถทำให้กฎที่ถูกแย้ง ถูกเอาออก หรือกลายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกยอมรับ เพราะสิ่งนั้นเป็นรูปแบบศิลปะที่เฉพาะของแต่ละคน ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบก็คือการหัดเขียนหนังสือ นักเรียนในชั้นเดียวกันหัดเขียนหนังสือโดยใช้รูปแบบตัวอักษรเดียวกันเป็นพื้นฐานในการหัด แต่เมื่อทุกคนฝึกฝนการเขียนมาได้ระยะเวลาหนึ่ง ทุกคนก็ได้วิธีการเขียนและตัวอักษรที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน ถึงแม้ทุกคนจะเขียนตัวอักษรได้ไม่เหมือนกัน แต่ก็สามารถอ่านหรือเข้าใจในตัวอักษรที่เขียนขึ้นมาได้ เพราะทุกคนมีพื้นฐานเดียวกัน เปรียบเหมือนทฤษฎีทางศิลปะที่ทุกคนเห็นด้วยและยอมรับ ยกเว้นในบางกรณีที่ เขียนตัวอักษรแล้วคนอื่นอ่านไม่ออก แต่ผู้เขียนอ่านออก ตัวอักษรนั้นก็ถือว่าสิ่งที่สร้างไม่เป็นที่ยอมรับ (เป็นรูปแบบที่เฉพาะตัวจนผู้อื่นสัมผัสไม่ถึง) ดังนั้นในบทความนี้จึงจะนำเสนอสิ่งที่เป็นพื้นฐาน ที่คนส่วนมายอมรับ
ก่อนที่จะไปไกลมากกว่านี้ขอแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความสามารถทางศิลปะคือ การหมั่นฝึกฝน เปลี่ยนมุมมองและรับสิ่งใหม่ อ่านหนังสือหรือบทความเกี่ยวกับศิลปะที่น่าสนใจ รวมถึงทำบางสิ่งที่เราไม่ค่อยชอบที่จะทำ ยกตัวอย่างการวาดการ์ตูน ถ้าเคยวาดแต่สไตล์ญี่ปุ่น ก็เป็นไปแนวตะวันตกบ้าง วาดแต่ตัวการ์ตูนผู้หญิง ก็เปลี่ยนไปวาด ตัวการ์ตูนผู้ชาย สัตว์ สัตว์ประหลาด ปีศาจ ผี หรือ ฉาก เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยเปิดทำให้เราได้สัมผัสสิ่งใหม่ๆ และบางทียังช่วยให้เราพบว่าเราถนัดอะไรมากที่สุด เราชอบทำอะไรมากที่สุด และพิสูจน์ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ไม่ใช่แค่ทำเพราะทำตามคนอื่น ชอบตามคนอื่น และในบทความนี้น่าจะเพียงพอสำหรับคุณ ส่วนที่เหลือคือการฝึกฝน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น